โป๊ะเช๊ะ ดอท คอม

ไข้เห็บ หรือ พยาธิในเม็ดเลือด (Blood parasite) +1

http://bit.ly/2L6qY8M

 

ไข้เห็บ หรือ พยาธิในเม็ดเลือด (Blood parasite)ที่เกิดกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม วัว สุนัข แมว แพะ แกะฯ

1.เห็บเป็นตัวนำเชื้อปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดเมื่อเห็บมากัดสุนัข ไม่ใช่มีแค่สุนัขเท่านั้นที่เป็นไข้เห็บ ในวัว แมว แพะ แกะฯ ก็เป็นได้

2.สุนัขที่มีเห็บเป็นจำนวนมากมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ แต่สัตว์ที่ไม่มีเห็บ หรือฉีด/หยด/กิน/อาบ/สเปรย์/ใส่ปลอกคอป้องกันเห็บหมัดก็สามารถป่วยได้ ถ้ามีเห็บที่มีเชื้อไข้เห็บอยู่มากัดแล้วปล่อยเชื้อเข้าสู่ร่างกายสุนัข พูดง่ายๆเห็บมีเชื้อ 1 ตัว เผลอเดินมากัดเข้าก็ป่วยได้แล้ว

3.ไข้เห็บเป็นโรคซึ่งเกิดจากเชื้อปรสิตที่อยู่ในเม็ดเลือดเกิดจากการติดเชื้อของสัตว์เซลล์เดียวในเม็ดเลือด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโปรโตซัวและริคเก็ตเซีย ได้แก่..

บาบิเซีย (Babesia sp.)

เฮปปาโตซูน (Hepatozoon sp.)

เออร์ลิเชีย (Ehrlichia sp.)

อะนาพลาสมา (Anaplasma sp)

บาร์โทเนลล่า (Bartonella sp.)

..แต่ที่พบได้บ่อยในบ้านเราคือ 3 ตัวแรก ..สัตว์ติดโรคนี้จากการถูกกัดโดยเห็บหรือแมลงดูดเลือดที่มีเชื้ออยู่ จากนั้นเชื้อโรคจะถูกปล่อยเข้าสู่ร่างกายและอาศัยอยู่ในเม็ดเลือดแดงของสัตว์ มีการเพิ่มจำนวนและแพร่ขยายไปยังเม็ดเลือดเม็ดอื่นๆ จนในที่สุดเม็ดเลือดจะแตกและถูกทำลายลงเรื่อยๆ เกิดสภาพที่เรียกว่าโลหิตจาง(anemia)ตามมา

ชื่ออาจจะคล้ายกับโรคพยาธิหนอนหัวใจ แต่อย่าสับสน..เป็นคนละโรคกัน..

-โรคพยาธิหนอนหัวใจติดจากยุงเป็นพาหะ

-โรคพยาธิในเม็ดเลือดติดจากเห็บเป็นพาหะ เราเรียกรวมๆ กันว่า โรคที่ติดต่อจากเห็บ (Tick-borne diseases) ความชุกของโรคนี้ในบ้านเราถือว่าค่อนข้างสูงพบได้ทั้งปี

..พอเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด จะส่งผลทำให้ ตับวาย ไตวาย เกล็ดเลือดต่ำ โลหิตจาง เหงือกซีด ทำลายไขกระดูกและภูมิคุ้มกัน บางตัวเม็ดเลือดแดงแตก ตับวาย ไตวาย จนตัวเหลืองดีซ่าน บางตัวพบจ้ำเลือดตามใต้ท้องหรือใบหูด้านในบริเวณที่ไม่มีขนจะมองเห็นง่าย

4.บางตัวถ่ายเป็นเลือดคล้ายลำไส้อักเสบ กำเดาไหลเพราะเส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย เลือดหยุดยาก ข้ออักเสบ ปวดข้อไม่อยากเดิน ขาหลังแบะ ไข้สูงขึ้นๆลงๆ กินยาลดไข้อย่างเดียวไข้ก็ไม่หายจนกว่าจะได้ยาปฏิชีวนะสำรับรักษาไข้เห็บร่วมด้วย

5.ตัวที่ป่วยกินอะไรไม่ได้มาหลายวัน ตับวาย ไตวาย อาจจะกู้อาการกลับมาเป็นปกติได้ยาก ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตในภายหลัง

6.มีการช่วยเหลือโดยการให้เลือด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์จะสามารถรับเลือดได้ทันทีทุกตัว ต้องดูสภาพสัตว์ป่วยด้วยว่าร่างกายรับการให้เลือดได้ไหม ถ้าร่างกายรับไม่ไหวก็จะเสียชีวิตระหว่างให้เลือดหรือหลังให้เลือดใน3-7วัน ยิ่งสัตว์ป่วยตัวใหญ่ยิ่งต้องใช้ปริมาณเลือดมากต้องหาสัตว์ที่ตัวใหญ่แข็งแรงและไม่มีโรคติดต่อมาเป็นตัวให้เลือด ซึ่งบางครั้งก็หาได้ไม่ทันการ

7.ตัวแม่ที่ตั้งท้องแล้วเป็นไข้เห็บ ลูกออกมาจะทยอยตายเนื่องจากโลหิตจาง

..ในสัตว์ป่วยบางตัวได้รับเชื้อและป่วยแต่ยังไม่แสดงอาการ มาออกอาการอีกทีก็หอบซีด ชัก และเสียชีวิต บางตัวพอเป็นไข้ก็เริ่มไม่กิน ถ่ายปนเลือด บางตัววิ่งอยู่ก็กำเดาไหล บางตัวแค่จามก็เลือดออกจมูก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรรีบพาสัตว์ไปหาหมอ ตรวจค่าเลือดต่างๆ ตรวจไข้เห็บเพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นๆ


สัตว์บางตัวอาจป่วยเป็นไข้เห็บเชื้อเดียว สองเชื้อ หรือสามเชื้อ ยิ่งเป็นร่วมกันหลายเชื้อก็ยิ่งรุนแรง สัตว์ที่เคยป่วยแล้วรักษาจนเป็นปกติก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ อาจจะอีก1-3เดือนต่อมา หรืออีก1-2ปีต่อมา เพราะไข้เห็บบางเชื้อไม่ได้หายไปไหนมันแฝงอยู่ในร่างกาย พอสัตว์อ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันลดลงมันก็จะก่ออาการขึ้นมาอีก ที่สำคัญคือตรวจสุขภาพเป็นระยะ ถ้าป่วยให้แจ้งหมอด้วยว่าเคยมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง ทุกวันนี้ไข้เห็บเจอได้เกือบทุกวันเลย..

 

อาการสัตว์ติดเชื้อ

บาบิเซีย พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลายชนิด Babesia canis, Babesia gobsoni ก่อให้เกิดโรค Babesiosis ติดจากการที่ถูกเห็บที่มีเชื้อกัดหรือติดจากการถ่ายเลือด ซึ่งตัวเชื้อจะเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดแดง โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน
อาการที่พบ จะมีไข้สูง ซึม ไม่อยากกินอาหาร ไม่อยากเคลื่อนไหว โลหิตจาง เยื่อเมือกซีดมาก อาจมีดีซ่านร่วมด้วย ปัสสาวะสีแดงเข้ม (สีโค้ก/โคล่า) ในรายที่เป็นรุนแรง.
การรักษาด้วยการฉีดยา เช่น กลุ่ม aromatic diamidine (Imidocarb) จำนวนสองครั้ง โดยฉีดห่างกัน 14 วัน แต่ยานี้เป็นสารเคมีซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ไอ น้ำลายไหล จึงจำเป็นต้องให้ร่วมกับในกลุ่ม anti-colinergic เพื่อลดผลข้างเคียงดังกล่าว
วิธีรักษาเมื่อพบในแพะ-แกะ-โค ใช้ยาเบรีนิล(Diminazene aceturate ) ขนาด 3.5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

 

 

เฮปปาโตซูน พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลายชนิดชื่อว่า Hepatozoon canis, Hepatozoon americanum ก่อให้เกิดโรค Hepatozoonosis โดยจะติดเชื้อจากการที่กินตัวเห็บที่มีเชื้อเข้าไปหรือติดจากการถ่ายเลือดและปลูกถ่ายอวัยวะ เมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในลำไส้จะชอนไชทะลุผ่านผนังลำไส้ เข้าไปตามกระแสเลือดไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลือง ม้าม ตับ ปอดและไขกระดูก และจะพบเชื้อได้ในเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil
อาการที่พบจะมีได้หลากหลาย เช่น ซึม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เยื่อเมือกซีด โลหิตจาง มีไข้สูง มีน้ำมูก มีขี้ตา เป็นอัมพาตขาหลัง ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันด้วย ส่วนใหญ่ถ้าภูมิคุ้มกันดีจะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่จะเป็นแบบเรื้อรังแทน เช่น เม็ดเลือดถูกทำลายมาก จนเกิดดีซ่าน ทำให้เยื่อเมือกมีสีเหลือง หากภูมิคุ้มกันไม่ดีหรืออายุน้อยจะแสดงอาการรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้
การรักษาด้วยการฉีดยา เช่น กลุ่ม aromatic diamidine (Imidocarb) จำนวนสองครั้ง โดยฉีดห่างกัน 14 วัน แต่ยานี้เป็นสารเคมีซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ไอ น้ำลายไหล จึงจำเป็นต้องให้ร่วมกับในกลุ่ม anti-colinergic เพื่อลดผลข้างเคียงดังกล่าว
**เฮปาโตซูนอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อสามารถซ่อนตัวอยู่ในตับ ม้าม และต่อมน้ำเหลืองได้ เมื่อสัตว์ที่เคยเป็นโรคนี้อ่อนแอลง ก็อาจจะกลับมาป่วยได้อีก

.
เออร์ลิเชีย พบได้ในสุนัขและม้า แต่ที่พบในสุนัขมีชื่อว่า Ehrlichia canis ซึ่งก่อให้เกิดโรค Canine ehrlichiosis ติดจากการที่ถูกเห็บที่มีเชื้อกัดหรือติดจากการถ่ายเลือด ซึ่งเชื้อจะเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิด monocyte และ neutrophil โดยมีระยะฟักตัวอยู่ที่ 7-12 วัน
อาการที่พบ มีไข้สูง ซึม เบื่ออาหาร โลหิตจาง มีขี้ตา มีน้ำมูก และมีเลือดกำเดาไหล เนื่องจากโรคนี้ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ พอเลือดไหลก็จะหยุดได้ยาก และอาจพบจุดเลือดออกบริเวณตาขาว เหงือกและผิวหนังได้ ในรายที่ภูมิคุ้มกันไม่ดีจะแสดงอาการแบบเฉียบพลัน ส่วนรายทีมีภูมิคุ้มกันดีจะแบบอาการแบบเรื้อรัง (แสดงอาการใน 30-120 วัน) ซึ่งจะทำให้ปัสสาวะมีแดงเข้ม (สีโค้ก/โคล่า) มีภาวะแทรกซ้อนตามมากมาย เช่น ภาวะไตวาย ไขกระดูกทำงานบกพร่อง ม้ามโต และอาจเสียชีวิตได้จากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
การรักษา ฉีดยาหรือจ่ายยาในกลุ่ม tetracycline ให้ป้อนกินติดต่อกันอย่างน้อย 21-28 วัน ร่วมกับการรักษาตามอาการ เช่น หากมีภาวะโลหิตจางก็ต้องให้ยาบำรุงเลือดหรือถ่ายเลือดให้ เป็นต้น
.

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็น หากดูจากอาการเพียงอย่างเดียวอาจยังสรุปได้ยาก เนื่องจากมีอาการที่ไม่จำเพาะ ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยอาการซึม เบื่ออาหาร ดังนั้นการซักประวัติเพิ่มเติมโดยละเอียด ตลอดจนข้อมูลความชุกของเห็บบนตัวสัตว์และในสิ่งแวดล้อมที่สัตว์อยู่จึงมีส่วนสำคัญ แต่สิ่งที่ช่วยยืนยันได้ดีที่สุด คือ การตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด และการย้อมสีแผ่นสไลด์ของเลือดแล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์

โรคนี้หากวินิจฉัย ได้เร็วและรักษาได้อย่างถูกอันนี้ก็จะง่าย เห็นผลไว บางตัวฉีดยากำจัดเชื้อ ร่วมกับยาลดไข้อย่างเดียวก็หาย หรือบางตัวฉีดยาไปไข้ลดแล้วแต่ยังไม่กินอาหาร ก็อาจให้ยาบำรุง(supportive treatment) เช่น กลูโคส อะมิโนไลท์ หรือเมตตาโบลาส จะช่วยให้สัตว์ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

..ในกรณีที่เลือดจางมาก เยื่อเมือกซีด หรือ เหลืองอย่างชัดเจน เดินเซไม่มีแรง บางตัวถึงขั้นนอนไม่อยากลุก หัวใจเต้นเร็วและแรงมาก หายใจถี่ ไม่กินอาหารเลยแม้จะฉีดยาหรือให้ยาบำรุงไปแล้วก็ตาม ถ้าถึงขนาดนี้แล้ววิธีการสุดท้ายที่พอจะรักษาชีวิตได้ก็ต้องถ่ายเลือดซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากขึ้น.

อันตรายที่ควรรู้...โรคพยาธิเม็ดเลือดบางเชื้อสามารถติดต่อสู่คนได้ คือ Ehrlichia sp. และ Anaplasma sp. ผ่านทางการถูกเห็บสุนัขที่มีเชื้อกัดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้คนแสดงอาการต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ และปวดศีรษะ เรียกโรคนี้ในคนว่า “human granulocytic ehrlichiosis”

 

ขอบคุณ https://pantip.com/topic/30717285
http://auuteetfram.myreadyweb.com/article/..
https://www.dogilike.com/content/vettalk/1464/
https://108kaset.com/farm/2018/07/13/%e0%b…

รูปภาพประกอบ:

www.dogs.lovetoknow.com
www.doglawreporter.blogspot.com
www.tpvexperiences.blogspot.com
www.instruction.cvhs.okstate.edu
www.sciencedirect.com
www.scielo.br
www.theanswervet.com
www.moveoneinc.com
www.ticktalkireland.org
www.osuemed.wordpress.com
http://www3.rdi.ku.ac.th..